ประถม

โรงเรียนประถม
บูรณาการสู่ชีวิต  ถ่ายทอดจินตนาการสู่คุณค่าแท้

ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑–๖

พัฒนาตนบนวิถีกิจวัตร
เป็นการฝึกทักษะชีวิตพื้นฐานที่สำคัญและจำเป็นต่อการใช้ชีวิต พร้อมๆ กับการฝึกการคิดเป็นระบบ คิดสร้างสรรค์ กล้าเผชิญกับเรื่องยาก มีความสามารถในการสื่อสาร อดทน มีวินัย ตรงต่อเวลา และมีสัมมาคารวะ

กิจวัตรประจำวันเริ่มจากการเจริญสติ สมาธิ ด้วยการทำวัตรเช้าร่วมกัน และออกกำลังกายเพื่อพลานามัยที่แข็งแรง กระตุ้นการทำงานของสมอง

การทำงานเพื่อส่วนรวม เช่น การดูแลความสะอาดห้องเรียน โถงชั้นเรียน พื้นที่รอบโรงเรียน และนำขยะไปแยกที่โรงแยกขยะ การกวาดใบไม้ เก็บขยะ

การพัฒนาทักษะชีวิต เช่น การทำอาหาร การพายเรือ งานช่าง  การปฐมพยาบาลเบื้องต้น  เทคนิคการเอาตัวรอดทางน้ำ เป็นการพึ่งพาตนเองเมื่อเผชิญกับภัยต่างๆ

หน่วยบูรณาการสู่ชีวิต เป็นการเรียนรู้ผ่านโครงงานบูรณาการ ซึ่งเป็นการเรียนที่นำนักเรียนเข้าถึงคุณค่าของสิ่งที่อยู่รอบตัว ผ่านแก่นเรื่อง (theme) ที่เชื่อมโยงกับชีวิตของนักเรียน เป็นการสร้างกระบวนการเพื่อให้นักเรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจไปสู่ความเข้าใจถึงประโยชน์และคุณค่าของสิ่งที่เรียนที่มีผลต่อคนและสรรพสิ่งทั้งหลายอย่างไร เป็นความเข้าใจเรื่องระบบความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับผู้อื่นและสิ่งอื่น ซึ่งประกอบไปด้วยขั้นตอนต่างๆ ได้แก่ การที่นักเรียนได้ปฏิบัติจริง ได้สังเกต ใส่ใจ คิดพิจารณา ศึกษาค้นคว้า ฝึกฝนทักษะการเรียนรู้ที่จำเป็น และถ่ายทอดความรู้ออกมาอย่างสม่ำเสมอ จนนักเรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงจิตใจและความคิดของตนเอง มองเห็นคุณค่าในสิ่งที่เรียนได้อย่างแท้จริง

โครงงานบูรณาการ “ข้าวไทย วิถีไท”

โครงงาน “ข้าวไทย วิถีไท” มีเป้าหมายเพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้วัฒนธรรมและภูมิปัญญาของคนไทย ผ่านการลงมือทำนาปลูกข้าวด้วยตัวของนักเรียนเอง การทำนาซึ่งเป็นรากเหง้าของคนไทยจะทำให้นักเรียนเห็นและเข้าใจมิติต่างๆ ของสังคมไทย ตั้งแต่สภาพภูมิศาสตร์ การตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนโดยอิงแม่น้ำลำคลอง ซึ่งเสมือนเป็นสายเลือดหล่อเลี้ยงสรรพชีวิตให้ดำรงอยู่ได้ การได้เห็นถึงวิธีปรับตัวของผู้คนให้เข้ากับลักษณะภูมิประเทศ เช่น การสร้างเรือนมีใต้ถุนสูงเพื่อป้องกันน้ำท่วม และเพื่อเก็บอุปกรณ์ทำนา การทำนาปลูกข้าวให้เหมาะสมกับดิน ฟ้า อากาศ ลักษณะภูมิประเทศ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงภูมิปัญญาที่เข้าใจธรรมชาติ ปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติ มีการดำรงชีวิตบนวิถีพอเพียงตามหลักพระพุทธศาสนาอันเป็นรากเหง้าทางความคิดและความเชื่อของคนไทย

นักเรียนในฐานะชาวนาตัวน้อยต้องรู้จักนาของตนเอง โดยการสังเกตสภาพพื้นที่ ลักษณะดิน พืชและสัตว์ที่อาศัยในนา ซึ่งการสังเกตจะช่วยนักเรียนเปิดโลกการเรียนรู้มองเห็นว่าสัตว์หลายชนิดเป็นดัชนีชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของดิน พืชหลายชนิดชวนให้ตั้งข้อสงสัยว่าเป็นพืชชนิดใด มีประโยชน์หรือไม่อย่างไร การตั้งข้อสงสัยและการรู้จักหาคำตอบนำไปสู่ความรู้ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจากการทำนา

การวางแผนการทำนายังนำไปสู่ความเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ของพื้นที่กับการบริหารจัดการ โดยมีพันธุ์ข้าวและน้ำเป็นตัวแปรสำคัญ ดังนั้นนักเรียนจะได้ศึกษาลักษณะพันธุ์ข้าวและลักษณะภูมิศาสตร์ไปพร้อมกันด้วย

นอกจากนี้นักเรียนยังจะได้เข้าใจถึงประวัติศาสตร์ข้าว โดยศึกษาข้อมูลจากแหล่งความรู้ที่หลากหลาย เช่น สืบค้นจากตำราในห้องสมุด สืบค้นจากอินเทอร์เน็ต พิพิธภัณฑ์ การสัมภาษณ์บุคคล เป็นต้น แล้วนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ จัดลำดับ สรุปเป็น Timeline ประวัติศาสตร์ข้าว เชื่อมโยงไปสู่ประวัติศาสตร์ชาติไทย จนนักเรียนสามารถค้นพบด้วยตัวเองว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่เจริญรุ่งเรืองมาได้จนปัจจุบันนี้ก็ด้วยคนไทยอาศัยความอุดมสมบูรณ์ของผืนแผ่นดินทำมาหากิน  จนมีคำพูดติดปากคนไทยที่กล่าวถึงความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว”

นอกเหนือจากองค์ความรู้ที่กล่าวมานี้ นักเรียนยังจะได้รับรู้ถึงบุญคุณของแผ่นดิน บุญคุณของข้าว บุญคุณของบรรพบุรุษ ได้รับรู้ถึงความเหนื่อยยากลำบากของชาวนา เพื่อย้อนกลับมาเรียนรู้ภายในจิตตนเองแล้วพบว่า “ความมุ่งมั่น อดทน และความเพียร เป็นที่ตั้งแห่งความสำเร็จ” “การทำสิ่งใด ต้องทำด้วยความประณีต” เป็นต้น และจากนี้ไปพวกเขาจะตระหนักว่า “การกินข้าวให้หมดทุกเม็ด” คือจุดเริ่มต้นของการเห็นคุณค่าภายในใจตนเอง