กิจกรรมเจริญจิตภาวนา,  ชุมชนกัลยาณมิตร,  รอบรั้วรุ่งอรุณ,  โรงเรียนรุ่งอรุณ

ทำบุญตักบาตรวันมาฆบูชา ๒๕๖๐

เช้าวันศุกร์ที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ผู้บริหาร ครู บุคลากร ผู้ปกครอง และนักเรียน โรงเรียนรุ่งอรุณและสถาบันอาศรมศิลป์ ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรเนื่องในวันมาฆบูชา ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๐ โดยนิมนต์พระสงฆ์จากวัดแทนวันดี และพระอาจารย์เอกวุฒิ อัคคะปัญโญ แสดงสัมโมทนียกถา รับบิณฑบาต และฉันเช้า ณ โรงเรียนรุ่งอรุณ

ขอนำธรรมเทศนาของพระมหาทวีป กตปุญโญ เจ้าอาวาสวัดแทนวันดี เมื่อช่วงเช้าวันนี้มาแบ่งปันแก่กัลยาณมิตรทุกท่าน

“วันมาฆบูชาเป็นวันที่เราน้อมนึกถึงเพราะวันดังกล่าวพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทำสิ่งที่มีความหมายต่อมวลมนุษย์ วันนี้เรียกอีกชื่อว่าวันจาตุรงคสันนิบาต เพราะมีเหตุสำคัญ ๔ อย่าง คือวันดังกล่าวเป็นวันเพ็ญเดือนสาม เป็นวันที่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายไว้ก่อน และพระอรหันต์เหล่านี้ล้วนเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา เมื่อเหตุสำคัญทั้ง ๓ นี้เกิดขึ้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเห็นว่าสมควรแล้วที่พระองค์จะได้วางรากฐาน “หลักการ อุดมการณ์ และวิธีการ” ในการดำเนินชีวิตของชาวพุทธ จึงได้ตรัสโอวาทปาติโมกข์ ในที่นี้จะขอกล่าวโดยย่อ ๓ ข้อ คือ

๑.สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง ไม่ทำบาปทั้งปวง
๒.กุสะลัสสูปะสัมปะทา หมั่นทำความดีให้ถึงพร้อม
๓.สะจิตตะปะริโยทะปะนัง ทำจิตของตนให้ขาวรอบ

พระมหาทวีป กตปุญโญ

นี้เป็นอุดมการณ์ของชาวพุทธ พุทธศาสนาเกิดขึ้นเหมือนเป็นเครื่องรับรองว่า โลกมีทางออกแล้ว เพราะสัญชาตญาณดิบของมนุษย์รักตัวกลัวตาย เมื่อเกิดภัยขึ้นมาก็ย่อมคุ้มครองป้องกันให้ตนรอดปลอดภัย ดังนั้นมนุษย์ถ้าไม่มีอุดมการณ์ที่มั่นคงไว้ มักจะทำบาปโดยมีข้ออ้างว่าคุ้มครองตัวเอง พระพุทธเจ้าจึงให้เครื่องป้องกันไว้ว่า จะต้องไม่ทำบาปทั้งปวง” ทั้งบาปทางกาย บาปทางวาจา และบาปทางใจ

บางคนเว้นบาปทางกายได้แล้วเพราะเห็นโทษของการฆ่า จึงงดเว้นจากการฆ่า เว้นจากการเอาสิ่งของของผู้อื่นได้แล้ว แม้ใครจะมาเสนอผลประโยชน์มากเพียงใด ก็เห็นโทษของการเอาของของผู้อื่นมาเป็นของตน เพราะมีศีลข้อที่ ๒ มั่นคง แม้จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องสุ่มเสี่ยงกับการผิดศีลข้อที่ ๓ ก็เว้นบาปทางกายได้แล้วเพราะมีศีลข้อที่ ๓ มั่นคง

แม้เราจะเว้นบาปทางกายได้ปลอดภัยแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าคนนั้นจะไม่มีบาป เพราะคนเราเว้นบาปทางกายได้ แต่ไม่เว้นบาปทางวาจา พระองค์จึงสอนให้เว้นบาปทางวาจาด้วยการไม่พูดเท็จ ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดคำส่อเสียด ไม่พูดคำเพ้อเจ้อ เราควรรู้จักการพูดมากไปกว่าการเปล่งเสียงออกจากปาก เพราะบุคคลสามารถสื่อเจตนาของตนไม่เฉพาะทางปากเท่านั้น ไม่เพียงเท่านั้น ปัจจุบันมีสื่อออนไลน์ มันคือการทำบาปทางวาจาที่เราไม่รู้สึกตัว พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เราเว้นบาปทั้งปวง เราตรวจดูตัวเราว่าวันนี้บาปทางวาจาเราเว้นได้ แล้วบาปทางวาจาเราเว้นได้หรือยัง เราไม่พูด แต่ว่าเรากำลังเขียนอะไรทำร้ายผู้อื่น เรางดบาปทางกายได้แล้ว อย่าไปทำบาปทางวาจา

เมื่อเรางดบาปทางกายและวาจาได้แล้ว ใช่ว่าเราจะปลอดภัย ยังมีบาปจากความหงุดหงิด เราจึงต้องฝึกเจริญสติ มีสติกำหนดรู้

ข้อที่ ๒ ทำความดีให้ถึงพร้อม วันนี้เรากำลังอยู่ในบรรยากาศของการทำบุญ เราควรรักษาบุญของตนให้ถึงพร้อม ความดีครึ่งๆ กลางๆ อย่าทำ ถ้าทำต้องทำให้ถึงพร้อม คนเราทำดีกันทุกคน แต่ทำความดีครึ่งๆ กลางๆ พระพุทธเจ้าจึงเตือนเราให้ทำความดีให้ถึงพร้อม เราจึงควรทำความดีให้ถึงพร้อมทั้งทางกาย วาจา ใจ ทำความดีให้ถึงพร้อมทั้งตอนเช้า ตอนสาย ตอนเย็น

ถ้าเราทำความดีไม่ถึงที่สุด เราอาจจะเมาดี บ้าดี อวดดี พระพุทธเจ้าจึงสอนให้อยู่เหนือดี เหนือชั่ว สะจิตตะปะริโยทะปะนัง เราทำความดีแล้วเราเหยียดหยามคนอื่นว่าชั่ว เป็นการลดตัวทำความดีของเราให้ลดลง เราทำความดีแล้วต้องมีใจเมตตาสงสารผู้อื่น ทำจิตใจของเราให้บริสุทธิ์

ที่สุดนี้ขออำนวยอวยพรให้คณะครูบาอาจารย์ ลูกโรงเรียนรุ่งอรุณและทุกภาคส่วน ให้เราได้ประโยชน์จากพระดำรัสของพระบรมศาสดาที่ตรัสไว้ในวันมาฆบูชา ที่นำมาประมวลให้เราได้ประโยชน์เพียงเล็กน้อยในวันนี้ ขอให้เราไปทบทวนว่าเราละบาปหรือยัง เราทำความดีครึ่งๆ กลางๆ หรือไม่ จิตใจเราเมื่อทำดีแล้ว อวดดี หลงดี หรือเปล่า ขอให้พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าจงมาเป็นกำลังสำคัญ ให้เราทั้งหลายได้ประโยชน์จากการเกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ก้าวหน้าในการศึกษาและปฏิบัติธรรมให้ยิ่งขึ้นไปโดยทั่วกันทุกท่านทุกคนเทอญ